วิญญาณเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ สิ่งใดเป็นผู้เวียนว่ายตายเกิด และเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดคืออะไร
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
   [๔๔๑]  เมื่อภิกษุเหล่านั้น ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐิลามกนั้นได้   จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   แล้วได้ทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  สาติภิกษุมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า  เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ครั้งนั้นพวกข้าพระองค์เข้าไปหาสาติภิกษุ  แล้วถามว่า   ดูก่อนท่านสาติ   ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า   เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ   ย่อมท่องเที่ยวไป  แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้  จริงหรือ   เมื่อพวกข้าพระองค์ถามอย่างนี้    สาติภิกษุ ได้บอกพวกข้าพระองค์ว่า  ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป  มิใช่อื่น   ดังนี้จริง  ในลำดับนั้น พวกข้าพระองค์ปรารถนาจะปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียง  สอบสวนว่า  ดูก่อนท่านสาติ  ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า   การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีเลย  เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสอย่างนี้เลย   ดูก่อนท่านสาติ  วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว โดยปริยายเป็นอเนก  ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  สาติภิกษุอันพวกข้าพระองค์ซักไซ้ไล่เลียงสอบสวน อยู่แม้อย่างนี้  ก็ยังยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง และกล่าวอยู่ว่า   ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า   วิญญาณนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่น ดังนี้  จริง  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่อาจปลดเปลื้องสาติภิกษุจากทิฏฐิอันลามกนั้น  จึงมากราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า          [๔๔๒]  ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่ง  มาแล้วตรัสว่า  ดูก่อนภิกษุเธอจงมา  เธอจงเรียกสาติภิกษุ  ผู้เกวัฏฏบุตร ตามคำของเราว่า   ดูก่อนท่านสาติ  พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน  ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงเข้าไปหาสาติภิกษุ แล้วบอกว่าดูก่อนท่านสาติ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน.         สาติภิกษุรับคำภิกษุนั้นแล้ว  จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว จึงนั่งอยู่  ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนสาติ  ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า  เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยวแล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้  จริงหรือ.          สาติภิกษุทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า   วิญญาณนี้นั่นแหละ   ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้  จริง.          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนสาติ  วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร.สาติภิกษุทูลว่า  สภาวะที่พูดได้  รับรู้ได้  ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วในที่นั้น ๆ  นั่นเป็นวิญญาณ.          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  ดูก่อนโมฆบุรุษ  เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า  ดูก่อนโมฆบุรุษ  วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย  มิได้มี  ดูก่อนโมฆบุรุษ  ก็เมื่อเป็นดังนั้น  เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสบบาปมิใช่บุญมากด้วย  เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว ดูก่อนโมฆบุรุษ     ก็ความเห็นนั้นของเธอจักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.ตรัสสอบถามเรื่องสาติภิกษุผู้มีความเห็นผิดนั้นด้วย ขุดตนเสียด้วย  จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว  ดังนี้หรือ.          ภิกษุเหล่านั้น ทูลว่า ข้อนี้ไม่มีเลยพระพุทธเจ้าข้าเพราะวิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแก่พวกข้าพระองค์โดยอเนกปริยาย  ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี.          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดีละ พวกเธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้ ถูกแล้ว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยอเนกปริยาย  ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี  ก็แต่สาติภิกษุ  ผู้เกวัฏฏบุตรนี้  กล่าวตู่เราด้วย  ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว  ความเห็นนั้นของโมฆบุรุษนั้น จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.                      ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ [๔๔๔]  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ  เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ  วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าจักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ  วิญญาณอาศัยชิวหาและ. รสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ   วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณวิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ   เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ  ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ   ไฟอาศัยไม่ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟฟืน   ไฟอาศัยสะเก็ดไม่ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่าไฟสะเก็ดไม้   ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าไฟหญ้า   ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น  ก็ถึงความนับว่า  ไฟโคมัย   ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าไฟแกลบ   ไฟอาศัยหยากเหยื่อติดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าไฟหยากเหยื่อ  ฉันใด   ดูก่อนภิกษุทั้งหลายฉันนั้นเหมือนกันแล  วิญญาณอาศัยปัจจัยใด ๆ  เกิดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้น ๆ   วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าจักษุวิญญาณ  วิญญาณอาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ  วิญญาณอาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ  วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น  ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ  วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะ   ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ   วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้นก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ (ภาษาไทย) มู ม..  ๑๒/๓๓๑/๔๔๑.  : คลิกดูพระสูตร   
	
 
	



