การดูจิตอย่างละเอียด ทำอย่างไร
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
        ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุ    [๑] ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต จักหายใจออก ดังนี้ ;    [๒] ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;    [๓] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้ทำจิตตั้งมั่นอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ;    [๔] ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจเข้า ดังนี้,  ย่อมทำในบทศึกษาว่า  เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ; ภิกษุ ท. !  สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้  ตามเห็นจิตในจิต  อยู่เป็นประจำ  มีความเพียรเผากิเลส  มีสัมปชัญญะมีสติ  นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.           ภิกษุ ท. !        เราไม่กล่าวอานาปานสติ  ว่าเป็นสิ่งที่มีได้แก่บุคคลผู้มีสติ อันลืมหลงแล้ว ไม่มีสัมปชัญญะ.    ภิกษุ ท. !    เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ภิกษุ นั้นย่อมชื่อว่าเป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ  มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะ  มีสติ  นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้  ในสมัยนั้น.   (ไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๑๕๖/๒๘๙:คลิกดูพระสูตร 
 (บาลี) อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๕/๒๘๙:คลิกดูพระสูตร 
 
	           [๒๔๐]ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดหลงลืม อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นหลงลืม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใดไม่หลงลืมอมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่หลงลืม ฯ  (ไทย) เอก. อํ. ๒๐/๔๕/๒๔๐:คลิกดูพระสูตร (บาลี) เอก. อํ. ๒๐/๕๙/๒๔๐:คลิกดูพระสูตร   
	 จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”                                      มิคชาละ !   รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ  อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา  น่ารักใคร่  น่าพอใจ  มีลักษณะน่ารัก  เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่  เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ  มีอยู่.    ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน  พร่ำสรรเสริญ  สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้ ;         เมื่อนันทิ   มีอยู่,  สาราคะ (ความกำหนัดกล้า)  ย่อมมี ; เมื่อสาราคะ  มีอยู่,   สัญโญคะ  (ความผูกจิตติดกับอารมณ์)  ย่อมมี ;          มิคชาละ !    ภิกษุผู้ ประกอบพร้อมแล้ว  ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล  เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”.          มิคชาละ !  ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้  แม้จะส้องเสพเสนาสนะ อันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้วก็ตาม, ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่าผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?   ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น ;   ตัณหานั้น  อันภิกษุนั้นยังละไม่ได้แล้ว  เพราะเหตุนั้น  ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า  ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง ดังนี้.   อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้า ๓๕๘ – ๓๕๙ (ไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๓๔/๖๖:คลิกดูพระสูตร (บาลี) สฬา. สํ. ๑๘/๔๓/๖๖:คลิกดูพระสูตร   มิคชาละ !   รูป  ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ   เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก  เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่.  ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้,  แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นนั่นแหละ,   นันทิ (ความเพลิน) ย่อมดับ ; เมื่อนันทิ    ไม่มีอยู่,       สาราคะ (ความกำหนัดกล้า)    ย่อมไม่มี ; เมื่อสาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับอารมณ์) ย่อมไม่มี ; มิคชาละ  !  ภิกษุผู้ ไม่ประกอบพร้อมแล้ว   ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน  นั่นแล  เราเรียกว่า  “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”. มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย,   ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาทั้งหลาย,   ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลายก็ตาม ;   ถึงกระนั้น  ภิกษุนั้นเราก็เรียกว่า  ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้.  ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่าตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของ  ภิกษุนั้น ;  ตัณหานั้น อันภิกษุนั้นละเสียได้แล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเรา  จึงเรียกว่า  ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว, ดังนี้ แล.                       (ไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๓๔/๖๗ :คลิกดูพระสูตร (บาลี) สฬา. สํ. ๑๘/๔๔/๖๗ :คลิกดูพระสูตร     
	
 
	


