ทั้งหมด http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam Thu, 30 Oct 2025 23:45:10 +0000 Joomla! - Open Source Content Management th-th คลิปสั้น : อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท-สังขตธรรม-อสังขตธรรม http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/623-55-00-0003 http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/623-55-00-0003

 

 

{tab=วิดีโอ }

{youtube}7DS8XOz75Ao{/youtube}

สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์  28 ธ.ค. 56
 
บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง 10 ปทุมธานี

ดาวน์โหลด : mp4mp3

เนื้อหาในคลิป :-

  • อิทัปปัจยตา
  • ปฏิจจสมุปบาท
  • กรรม
  • ภพ
  • วิญญาณฐิติ
  • สังขตธรรม
  • อสังขตธรรม

 {/tabs}

 

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

 

 

]]>
capt.nanawee@gmail.com (pum) โลกุตรธรรม Fri, 15 Nov 2013 11:05:57 +0000
คลิปสั้น : กระบวนการเข้าสู่วิมุติ http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/720-55-00-0004 http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/720-55-00-0004

 

{tab=วิดีโอ} 

{youtube}f7uqztiMcgk{/youtube}

บางส่วนจาก

สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์ วันที่ 31 พ.ค. 57
สนทนาธรรมช่วงก่อนฉัน วันที่ 25 ก.ค. 57

(1 ชั่วโมง 9 นาที)

บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง 10 ปทุมธานี

                  ดาวน์โหลด : mp4, mp3

   {/tabs}

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

{slider=การละฉันทราคะในขันธ์ ๕}

 

[๓๗๕] พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระราธะว่า ดูกรราธะ เธอจงสละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากในรูปเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ รูปนั้นจักเป็นของอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา เธอจงละความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยาก ในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ วิญญาณนั้นจักเป็นธรรมชาติอันเธอละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา.

 

(ไทย) ข.สํ. ๑๗/๑๙๕/๓๗๕.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ข.สํ. ๑๗/๒๓๖-๒๓๗/๓๗๕.คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา}

ความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕

 [๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕

[๔๐] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

    ความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕

[๔๑] พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

 

(ไทย) ข.สํ. ๑๗/๒๐/๓๙-๔๑.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ข.สํ. ๑๗//๓๙-๔๑.คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=โพชฌงค์บริบูรณ์เพราะสติปัฏฐานบริบูรณ์} 

ภิกษุ ท. !  สติปัฏฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร

จึงทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ได้ ?

[โพชฌงค์เจ็ด หมวดกายาฯ]

ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ ตามเห็นกายในกาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลสมีสัมปชัญญะมีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสีย ได้,   สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง

ภิกษุ ท. !   สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว  เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่า ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์ สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่  ย่อมทำการเลือก ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.   ภิกษุ ท. !   สมัยใดภิกษุเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่ ทำการเลือกเฟ้น ใคร่ครวญธรรมนั้นอยู่ด้วยปัญญา สมัยนั้น ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  สมัยนั้นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  เมื่อเลือกเฟ้น ใคร่ครวญอยู่ซึ่งธรรมนั้น  ด้วยปัญญาความเพียรอันไม่ย่อหย่อนชื่อว่าเป็นธรรมอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว.   ภิกษุ ท. !  สมัยใด ความเพียรไม่ย่อหย่อนอันภิกษุผู้เลือกเฟ้นใคร่ครวญในธรรมนั้นด้วยปัญญา

ปรารภแล้วสมัยนั้น วิริยสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์, สมัยนั้นวิริยสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  เมื่อมีความเพียรอันปรารภแล้ว  ปีติอันเป็นนิรามิสก็เกิดขึ้น.   

ภิกษุ ท. !   สมัยใด ปีติอันเป็นนิรามิส เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้ว  สมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้วสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์,   สมัยนั้นปีติสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่า ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญภิกษุนั้น  เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ  แม้กายก็รำงับ  แม้จิตก็รำงับ.

ภิกษุ ท. !   สมัยใด ทั้งกายและทั้งจิตของภิกษุผู้มีใจประกอบด้วยปีติ ย่อมรำงับ สมัยนั้น ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้วสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์สมัยนั้นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญภิกษุนั้น  เมื่อมีกายอันรำงับแล้ว  มีความสุขอยู่  จิตย่อมตั้งมั่น.

ภิกษุ ท. !   สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายอันรำงับแล้วมีความสุขอยู่ ย่อมตั้งมั่น  สมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้วสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์สมัยนั้นสมาธิสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่า ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  ย่อมเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้นเป็นอย่างดี.  

ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุเป็นผู้เข้าไปเพ่งเฉพาะซึ่งจิตอันตั้งมั่นแล้วอย่างนั้น เป็นอย่างดี,  สมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว  สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์  สมัยนั้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

 

[โพชฌงค์เจ็ด หมวดเวทนา ฯ]

ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย  อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัส ในโลกออกเสียได้สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.   ภิกษุ ท. !   สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,  สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว, สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์,  สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่  ย่อมทำการเลือก  ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ  ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.  (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายาฯ จนจบหมวด).

 

[โพชฌงค์เจ็ด หมวดจิตตา ฯ]

ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ ตามเห็นจิตในจิต อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้  สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง.

ภิกษุ ท. !   สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง,สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภมาแล้ว  สมัยนั้นภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์  สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่าถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่  ย่อมทำการเลือก  ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ   ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา. (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายาฯ จนจบหมวด).

 

[โพชฌงค์เจ็ด หมวดธัมมา ฯ]

ภิกษุ ท. !  สมัยใด ภิกษุเป็นผู้ ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้, สมัยนั้น สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว ก็เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง  ภิกษุ ท. !   สมัยใด สติของภิกษุผู้เข้าไปตั้งไว้แล้ว เป็นธรรมชาติไม่ลืมหลง  สมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ก็เป็นอันว่าภิกษุนั้นปรารภแล้ว  สมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์,  สมัยนั้นสติสัมโพชฌงค์ของภิกษุ ชื่อว่า ถึงความเต็มรอบแห่งการเจริญ.

ภิกษุนั้น  เมื่อเป็นผู้มีสติเช่นนั้นอยู่  ย่อมทำการเลือก  ย่อมทำการเฟ้น ย่อมทำการใคร่ครวญ  ซึ่งธรรมนั้นด้วยปัญญา.  (ต่อไปนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันกับในโพชฌงค์เจ็ด หมวดกายา ฯ จนจบหมวด).

ภิกษุ ท. !  สติปัฏฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญแล้ว อย่างนี้   ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล   ชื่อว่าทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ได้.

[๒๙๑ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์    แล้วอย่างไร  ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก  อาศัยวิราคะ  อาศัยนิโรธ  อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย  ย่อมเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์  ...  ย่อม  เจริญวิริยสัมโพชฌงค์  ...  ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์  ...  ย่อมเจริญปัสสัทธิ  สัมโพชฌงค์  ...  ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์  ...  ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก  อาศัยวิราคะ  อาศัยนิโรธ  อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์    แล้วอย่างนี้  ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล  ชื่อว่าบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ 

 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้า ๘๐๙ – ๘๑๔

(ไทย) – อุปริ. ม. ๑๔/๑๕๗-๑๖๐/๒๙๐-๒๙๑.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) - อุปริ. ม. ๑๔/๑๙๗-๒๐๒/๒๙๐-๒๙๑.คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ(ตาย)}

ภิกษุ ท. !  ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอย  การทำกาละ

นี้เป็นอนุสาสนีของเรา  สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.

ภิกษุ ท. !  ภิกษุ เป็นผู้มีสติ เป็นอย่างไรเล่า ?   

ภิกษุ ท. !   ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ  มีความเพียรเผากิเลส  มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ;  เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้อย่างนี้แล    

ภิกษุ ท. !    เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.

ภิกษุ ท. !  ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไปข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู,  การคู้ การเหยียด,  การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม,  การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,  การไป การหยุด,  การนั่ง การนอน,  การหลับ การตื่น,  การพูด การนิ่ง,  อย่างนี้แล 

ภิกษุ ท. !   เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.

ภิกษุ ท. !  ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ นี้แล

เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.

 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑หน้า ๗๘๗

(ไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๔-๒๒๕/๓๗๔-๓๗๖.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) สฬา. สํ. ๑๘/๒๖๐-๒๖๑/๓๗๔-๓๗๖.คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=อินทรีย์ของบุคคล ๑๐ จำพวก}

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 

ดูกรอานนท์ ก็มิคสาลาอุบาสิกาเป็นพาลไม่ฉลาด เป็นคนบอด มีปัญญาทึบ เป็นอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอะไร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล

ดูกรอานนท์ บุคคล ๑๐ จำพวกนี้มีอยู่ในโลก ๑๐ จำพวกเป็นไฉน 

ดูกรอานนท์ บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ทุศีล และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อมไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อม ไม่ถึงความเจริญ

ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีลแต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อมย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม 

ดูกรอานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดีก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน ดูกรอานนท์ ในสองคนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ทุศีลและรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย 

ดูกรอานนท์ บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคตดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคลและอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล แต่ไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งศีลของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นไม่ทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ

ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล และรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งศีลของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อมดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้า ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัยเมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียวไม่ถึงความเจริญ 

ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้าแต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขาตามความเป็นจริงบุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัยเมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียวไม่ถึงความเสื่อม ดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความโกรธของเขาตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ 

ดูกรอานนท์  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความโกรธของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟังกระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม ดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย  เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ

ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูตแทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม

ดูกรอานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณ ย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่าธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้นย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน ดูกรอานนท์ในสองคนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ฟุ้งซ่านแต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุติแม้อันเกิดในสมัย บุคคลนี้ดีกว่า และประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตนเราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

 

(ไทย) ทสก.อํ. ๒๔/๑๒๓/๗๕.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ทสก.อํ. ๒๔/๑๔๘/๗๕.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=การกระทำกิจเนื่องด้วยการฟัง}

ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับไม่อาจจะหลุดพ้น

ภิกษุ ท. !   ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จะพึงเบื่อหน่ายได้บ้าง พึงคลายกำหนัดได้บ้าง  พึงปล่อยวางได้บ้าง  ในกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้.   ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?    ภิกษุ ท. !    ข้อนั้นเพราะเหตุว่า    การก่อขึ้นก็ดี  การสลายลงก็ดี  การถูกยึดครองก็ดี  การทอดทิ้งซากไว้ก็ดี  แห่งกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ย่อมปรากฏอยู่. เพราะเหตุนั้น ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ  จึงเบื่อหน่ายได้บ้าง  จึงคลายกำหนัดได้บ้าง  จึงปล่อยวางได้บ้างในกายนั้น.  

ภิกษุ ท. !  ส่วนที่เรียกกันว่า “จิต” ก็ดี ว่า “มโน” ก็ดี ว่า “วิญญาณ”  ก็ดี  ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ  ไม่อาจจะเบื่อหน่าย  ไม่อาจจะคลายกำหนัด   ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งจิตนั้น.   ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?    

ภิกษุ ท. !    ข้อนั้นเพราะเหตุว่า  สิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนี้  เป็นสิ่งที่ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับได้ถึงทับแล้วด้วยตัณหา ได้ยึดถือแล้วด้วยทิฏฐิโดยความเป็นตัวตน มาตลอดกาลช้านานว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” ดังนี้ ;    เพราะเหตุนั้น  ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ  จึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย   ไม่อาจจะคลายกำหนัด  ไม่อาจจะปล่อยวาง ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าจิตเป็นต้นนั้น.

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้า ๑๐๑๔

(ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๙๓/๒๓๐.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑๔/๒๓๐.คลิกดูพระสูตร 

{/slider}{slider=การกระทำกิจเนื่องด้วยความเป็นพหูสูต}

. ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอดีจริง  ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า บุคคลเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรมเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้หรือ ฯ

ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรภิกษุ เราแสดงธรรมเป็นอันมาก คือ สุตตะ...เวทัลละ ถ้าแม้ภิกษุรู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ ก็ควรเรียกว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ฯ

(ไทย) จตุกก. อํ. ๒๑/๑๘๑/๑๗๖.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) จตุกก. อํ. ๒๑/๒๔๑/๑๗๖.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้}

อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เป็นพหูสูต ทรงธรรมที่ได้สดับแล้ว สั่งสมธรรมที่ได้สดับแล้ว ธรรมเหล่าใดงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ธรรมทั้งหลายเห็นปานนั้น อันท่านได้สดับมามาก ทรงจำไว้ได้สั่งสมด้วยวาจา ตามเพ่งด้วยใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยความเห็น.

(ไทย) ม.ม. ๑๓/๒๕/๓๒.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ม.ม. ๑๓/๒๙/๓๒.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=ย่อมทำไว้ในใจโดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาท}

[๒๓๓]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคายด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย

 จึงมีนามรูปเพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์

ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

[๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ มาพิจารณาอยู่อย่างนี้  ย่อมหน่ายแม้ในรูป ย่อมหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลายย่อมหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้นเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้แล ฯ

(ไทย) นิทาน.สํ.  ๑๖/๙๔/๒๓๓.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน.สํ.  ๑๖/๑๑๕/๒๓๓.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=การตั้งอยู่แห่งวิญญาณ}

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็ถ้าว่า บุคคลย่อม ไม่คิดถึงสิ่งใด ด้วย  ย่อมไม่ดำริถึงสิ่งใดด้วย และทั้งย่อม ไม่มีใจฝังลงไป (คือไม่มีอนุสัย) ในสิ่งใดด้วย ในกาลใด ในกาลนั้น สิ่งนั้น ย่อมไม่เป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่งวิญญาณได้เลย. เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ  ย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณนั้น ไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว การก้าวลงแห่งนามรูป  ย่อมไม่มี

       เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ

       เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ

       เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา

       เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา

       เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน

       เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ

       เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ

       เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้  แล.

(ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๖๔/๑๔๘.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๗๙/๑๔๘.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น}

ภิกษุ ท. ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ผู้ไม่เข้าไปหาเป็นผู้หลุดพ้น.

ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้   

ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัยมีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้

ภิกษุ ท. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงาม ไพบูลย์ได้     

ภิกษุ ท. !   วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ(ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้

ภิกษุ ท. !  ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นสังขาร” ดังนี้นั้น  นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.

ภิกษุ ท. !  ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว เพราะละราคะได้อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี. วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง   เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่นเพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง  เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน  ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ดังนี้.

 

อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๖๘๔

(ไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๓/๑๐๕.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.คลิกดูพระสูตร

{/slider}

 

 

 

 

 

 

 

 

]]>
stsoul@hotmail.com (chidjun) โลกุตรธรรม Sat, 02 Aug 2014 15:02:30 +0000
สังขตธรรม และ อสังขตธรรม โดยละเอียด http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/333-55-00-0001 http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/333-55-00-0001

 

{tab=วิดีโอ 1}

{youtube}aidg9QsSk_Q{/youtube}

บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐ ปทุมธานี

 ส่วนหนึ่งของสนทนาธรรมค่ำวันเสาร์ที่ ๘ ก.ย. ๕๕

ดาวน์โหลด : คลิกที่นี่

{/tabs}

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

 

{slider=สังขต และ อสังขตลักษณะ ๓ อย่าง}

ภิกษุทั้งหลาย ! สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.

สามอย่างอย่างไรเล่า ?  สามอย่างคือ :

๑. มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปญฺญายติ);

๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺญายติ) ;

๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).

ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล  คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม.

ภิกษุทั้งหลาย ! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม  ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.

สามอย่างอย่างไรเล่า ?  สามอย่างคือ :

๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ;

             ๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ;

๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).

       ภิกษุทั้งหลาย ! สามอย่างเหล่านี้แล คือ อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

ปฐมธรรม หน้า ๓๐๔-๓๐๕

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า  ๔๔๘

 (ภาษาไทย)  ติก. อํ. ๒๐/๑๔๔/๔๘๖-๔๘๗.: คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ว่าด้วยลักษณะแห่งอนัตตา}

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณาสี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุเบญจวัคคีย์ ฯลฯ แล้วตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ตัวตน ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ รูปนี้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ก็เพราะเหตุที่รูปมิใช่ตัวตน ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนามิใช่ตัวตน ก็หากเวทนานี้ จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาว่า ขอเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่เวทนามิใช่ตัวตน ฉะนั้นเวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า ขอเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใช่ตัวตน ก็หากสัญญานี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่สัญญามิใช่ตัวตน ฉะนั้นสัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารมิใช่ตัวตน ก็หากสังขารนี้ จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่สังขารมิใช่ตัวตน ฉะนั้นสังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณมิใช่ตัวตน ก็หากวิญญาณนี้ จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่วิญญาณมิใช่ตัวตน ฉะนั้นวิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง?

ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา?

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า?

เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา?

ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั้นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ สัญญาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ สังขารทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตอนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ วิญญาณทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า ๒๔๐-๒๔๓

(ภาษาไทย)  ขนฺธ. สํ ๑๗/๖๔/๑๒๗-๑๒๙.: คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕}

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง ...สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ...สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ...สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณไม่เที่ยง ...สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ...สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ...สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ...นั่นไม่ใช่ของเรา ...นั่นไม่เป็นเรา ...นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ... จากสัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ปฐมธรรม หน้า ๓๐๖

(ภาษาไทย)  ขนธ. สํ.  ๑๗/๔๔/๙๑.: คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=เบญจขันธ์เป็นที่บัญญัติกฎแห่งสังขตะ}

อานนท์ ! ถ้าคนทั้งหลายจะพึงถามเธออย่างนี้ว่า “ท่านอานนท์ !  กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี   กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น จากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้ว จักถูกบัญญัติ และย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่ธรรมเหล่าไหนเล่า ?”  ดังนี้.  

อานนท์ ! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว  จะตอบเขาว่าอย่างไร ?

 “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ถ้าคนทั้งหลายจะพึงถามข้าพระองค์เช่นนั้นแล้ว ข้าแต่พระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้ว่า  ‘ผู้มีอายุ !  รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี  กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้วแก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น.

ผู้มีอายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล่าใดยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี จักถูกบัญญัติแก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น, ผู้มีอายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเหล่าใด เป็นสิ่งเกิดอยู่แล้ว ปรากฏอยู่แล้ว ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น.’ดังนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ เมื่อถูกถามอย่างนั้น จะพึงตอบแก่เขาอย่างนี้.”

ถูกแล้ว อานนท์ ! ถูกแล้ว อานนท์ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเหล่าใด  ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้ว แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น.

อานนท์ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเหล่าใด ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็น อย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี จักถูกบัญญัติแก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น.

อานนท์ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเหล่าใด เป็นสิ่งเกิดอยู่แล้ว ปรากฏอยู่แล้ว ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น. 

อานนท์ ! เธอ เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว พึงตอบแก่เขาอย่างนี้เถิด.

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้า ๒๒๓-๒๒๔

(ภาษาไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๓๘-๓๙/๘๑-๘๒.: คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕}

พระนครสาวัตถี ฯลฯ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็นเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูกรอานนท์ ถ้าภิกษุทั้งหลาย พึงถามเธออย่างนี้ว่า ท่านอานนท์

...ความเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่าไหนย่อมปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่าไหน ย่อมปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมเหล่าไหนที่ตั้งอยู่แล้ว ย่อมปรากฏ

ดังนี้ไซร้. เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร?

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฯลฯ ข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นแห่งรูปแลย่อมปรากฏ ความเสื่อม แห่งรูปย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูปที่ตั้งอยู่แล้วย่อมปรากฏ. ความบังเกิดขึ้นแห่งเวทนา สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งวิญญาณย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งวิญญาณย่อมปรากฏ. ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แล ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แล ย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่แล้วย่อมปรากฏ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้แล.

ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์

...ความบังเกิดขึ้นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณแลย่อมปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณแล ย่อมปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ตั้งอยู่แล้ว ย่อมปรากฏ

ดูกรอานนท์ ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แล ย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แล ย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมเหล่านี้ที่ตั้งอยู่แล้ว ย่อมปรากฏ.

ดูกรอานนท์ เธอถูกถามอย่างนี้แล้วพึงพยากรณ์อย่างนี้.

พระนครสาวัตถี ฯลฯ ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูกรอานนท์ ถ้าภิกษุทั้งหลายพึงถามเธออย่างนี้ว่า ท่านอานนท์

...ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่าไหนปรากฏแล้ว

...ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่าไหนปรากฏแล้ว

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมเหล่าไหนที่ตั้งอยู่ปรากฏแล้ว.

 

...ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่าไหนจักปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่าไหนจักปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่แล้วเหล่าไหนจักปรากฏ.

...ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่าไหนย่อมปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่าไหนย่อมปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่แล้วเหล่าไหนย่อมปรากฏ.

ดูกรอานนท์เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างไร?

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฯลฯ ข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณใดแล ที่ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว แปรไปแล้ว

...ความบังเกิดขึ้นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นปรากฏแล้ว

...ความเสื่อมแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นปรากฏแล้ว

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ตั้งอยู่แล้วนั้น ปรากฏแล้ว.

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แลปรากฏแล้ว ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แลปรากฏแล้ว ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่แล้วเหล่านี้แลปรากฏแล้ว.

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณใดแล ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ

...ความบังเกิดขึ้นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นจักปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นจักปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ตั้งอยู่แล้วนั้นจักปรากฏ.

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แลจักปรากฏ ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แลจักปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมเหล่านี้ที่ตั้งอยู่แล้วแลจักปรากฏ.

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณใดแลที่เกิดที่ปรากฏ

...ความบังเกิดขึ้นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นย่อมปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณนั้นย่อมปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งรูป, เวทนาสัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ตั้งอยู่แล้วนั้นย่อมปรากฏ.

ดูกรอาวุโสทั้งหลายความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แลย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แลย่อมปรากฏ ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่แล้วเหล่านี้แลย่อมปรากฏ.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้แล้วพึงพยากรณ์อย่างนี้แล.

ถูกแล้ว ถูกแล้ว อานนท์

รูปใดที่ล่วงไปแล้ว ดับแล้ว แปรไปแล้ว ความบังเกิดขึ้นแห่งรูปนั้นปรากฏแล้ว... ฯลฯ  ดูกรอานนท์

...ความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านี้แลย่อมปรากฏ

...ความเสื่อมแห่งธรรมเหล่านี้แลย่อมปรากฏ

...ความเป็นอย่างอื่นแห่งธรรมที่ตั้งอยู่เหล่า นี้แลย่อมปรากฏ.

ดูกรอานนท์ เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่างนี้.

(ภาษาไทย)  ขนธ. สํ.  ๑๗/๓๗/๗๙.: คลิกดูพระสูตร

 {/slider}

 {slider=ว่าด้วยความเป็นอนิจจัง...ทุกข์...อนัตตา...แห่งขันธ์ ๕}

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้ อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งขันธ์ ๕

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยสัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ เวทนาเป็นทุกข์ ฯลฯ สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้. อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว  เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งขันธ์ ๕

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา รูปนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ข้อนี้ อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ เวทนาเป็นอนัตตา ฯลฯ สัญญาเป็นอนัตตา ฯลฯ สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ วิญญาณเป็นอนัตตา ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้วกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งเหตุปัจจัย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่เกิดจากสิ่งที่ไม่เที่ยง ที่ไหนจักเที่ยงเล่า? เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น ก็ไม่เที่ยง. ดูกรภิกษุทั้งหลายวิญญาณที่เกิดจากสิ่งไม่เที่ยง ที่ไหนจะเที่ยงเล่า? อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นทุกข์แห่งเหตุปัจจัย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจะเป็นสุขเล่า? เวทนาเป็นทุกข์ ฯลฯ สัญญาเป็นทุกข์ ฯลฯ สังขารเป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณเป็นทุกข์ แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น ก็เป็นทุกข์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เกิดจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไหนจักเป็นสุขเล่า? อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความเป็นอนัตตาแห่งเหตุปัจจัย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้รูปเกิดขึ้น ก็เป็นอนัตตา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตาที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า? เวทนาเป็นอนัตตา ฯลฯ สัญญาเป็นอนัตตา  ฯลฯ สังขารเป็นอนัตตา ฯลฯ วิญญาณเป็นอนัตตา แม้เหตุปัจจัยที่ให้วิญญาณเกิดขึ้น  ก็เป็นอนัตตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เกิดจากสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไหนจักเป็นอัตตาเล่า? อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ว่าด้วยความดับแห่งขันธ์ ๕

พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว  นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความดับเรียกว่านิโรธ ความดับแห่งธรรมเหล่าไหนแล เรียกว่า นิโรธ. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรอานนท์ รูปแลเป็นของไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับแห่งรูปนั้น เรียกว่านิโรธ. เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง  อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา ความดับแห่งวิญญาณนั้น เรียกว่านิโรธ. ดูกรอานนท์ ความดับแห่งธรรมเหล่านี้แล เรียกว่านิโรธ.

 (ภาษาไทย)  ขนธ. สํ.  ๑๗/๒๐-๒๔/๓๙-๔๘.: คลิกดูพระสูตร

{/slider}

{slider=เวทนานั้นทั้งหมด ย่อมถึงการประชุมลงในความทุกข์}

ดูก่อนสารีบุตร ! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธอ (ต่อไปอีก) อย่างนี้ว่า “ข้าแต่ท่านสารีบุตร ! เมื่อท่านรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร นันทิ (กิเลสเป็นเหตุให้รู้สึกเพลิน) จึงจะไม่เข้าไปตั้งอยู่ในเวทนาทั้งหลาย ? ” ดังนี้. ดูก่อนสารีบุตร ! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบแก่เขาว่าอย่างไร ?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ถ้าเขาถามเช่นนั้น ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาว่า ‘ดูก่อนท่านทั้งหลาย ! เวทนาสามอย่างเหล่านี้ มีอยู่; สามอย่าง คือ สุขเวทนา  ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. ดูก่อนท่านทั้งหลาย ! เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า ‘เวทนา ทั้ง ๓ อย่างนั้น เป็นของไม่เที่ยง; สิ่งใดเป็นของไม่เที่ยง, สิ่งนั้น ล้วนเป็นทุกข์’ ดังนี้ ; เพราะรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ นันทิ จึงไม่เข้าไปตั้งอยู่ในเวทนาทั้งหลาย’ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อถูกถามอย่างนี้   ข้าพระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้”.

ถูกแล้ว ถูกแล้ว สารีบุตร ! ปริยายที่เธอกล่าวนี้ ก็เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความนั้นแหละ แต่โดยย่อว่า “เวทนาใด ๆ ก็ตาม เวทนานั้นทั้งหมด ย่อมถึงการประชุมลงในความทุกข์” ดังนี้.

ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า ๗๕

 (ภาษาไทย)  นิทาน สํ. ๑๖/๔๙/๑๑๓.คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=สิ่งๆ หนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง}

“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง

เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด

มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้น มีอยู่;

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ

ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้;

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ

ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่

ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้;

ใน “สิ่ง” นั้นแหละ

นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ;

นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้

เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.

ปฐมธรรม หน้า ๓๐๓

 (ภาษาไทย)  สี. ที. ๙/๓๒๙/๓๔๘-๓๕๐.คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=การบัญญัติของนามรูปกับวิญญาณ}

ดูก่อนอานนท์ ! ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลก จึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง : คลองแห่งการเรียก (อธิวจน) ก็มีเพียงเท่านี้, คลองแห่งการพูดจา (นิรุตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้, คลองแห่งการบัญญัติ (ปญฺญตฺติ) ก็มีเพียงเท่านี้, เรื่องที่จะต้องรู้ด้วยปัญญา (ปญฺญาวจร) ก็มีเพียงเท่านี้, ความเวียนว่ายในวัฏฏะ ก็มีเพียงเท่านี้ : นามรูปพร้อมทั้งวิญญาณตั้งอยู่ เพื่อการบัญญัติซึ่งความเป็นอย่างนี้ (ของนามรูปกับวิญญาณ  นั่นเอง).

ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า ๗๙๐

 (ภาษาไทย)  มหา. ที. ๑๐/๕๕/๖๐.คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ไวพจน์ของนิพพาน (๑)}

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง นิพพาน แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! นิพพาน  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า  นิพพาน.

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้าที่ ๔๕๑

 (ภาษาไทย)  สฬา. สํ. ๑๘/๓๗๒/๗๔๑.คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ไวพจน์ของนิพพาน (๒)}

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อสังขตะ (สิ่งที่ไม่ถูกอะไรปรุงแต่งแก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย  จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อสังขตะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า อสังขตะ.

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้าที่ ๔๕๑

 (ภาษาไทย)  สฬา. สํ. ๑๘/๓๖๒/๖๗๔.คลิกดูพระสูตร

{/slider}
{slider=ไวพจน์ของนิพพาน (๓)}

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนตะ(สิ่งซึ่งอะไร ๆ  น้อมไปไม่ได้) แก่พวกเธอทั้งหลาย,  พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนตะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ,  ความสิ้นไปแห่งโทสะ,  ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า อนตะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนาสวะ(สิ่งที่ไม่มีอาสวะ) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนาสวะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ,  ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า  อนาสวะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง  สัจจะ (ของจริง)  แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สัจจะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า สัจจะ

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ปาระ (ฝั่งนอก)  แก่พวกเธอทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ปาระ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ปาระ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง นิปุณะ (ของละเอียด) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! นิปุณะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

             ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า นิปุณะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง สุทุททสะ (ของเห็นได้ยากอย่างยิ่ง) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สุทุททสะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ,  ความสิ้นไปแห่งโทสะ,  ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า สุทุททสะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อชัชชระ (ของที่ไม่คร่ำคร่า) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย  จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อชัชชระ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อชัชชระ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ธุวะ (ของยั่งยืน) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ธุวะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ธุวะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อปโลกินะ (เป้าที่หมาย) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อปโลกินะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ,  ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อปโลกินะ

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนิทัสสนะ (สิ่งที่ไม่แสดงตัว) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนิทัสสนะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า อนิทัสสนะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง นิปปปัญจะ (สิ่งที่ไม่ถ่วงไว้ในโลกนี้) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย  จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! นิปปปัญจะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า นิปปปัญจะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง สันตะ (สิ่งสงบระงับ) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สันตะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า สันตะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อมตะ (สิ่งไม่ตาย) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อมตะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อมตะ

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ปณีตะ (สิ่งประณีต) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ปณีตะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ปณีตะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง สิวะ (สิ่งที่เย็น) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สิวะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า สิวะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง เขมะ (ที่เกษม) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! เขมะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า เขมะ

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ตัณหักขยะ (ที่สิ้นตัณหา) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย   จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ตัณหักขยะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ตัณหักขยะ.

                              

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อัจฉริยะ (สิ่งน่าอัศจรรย์) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย   จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อัจฉริยะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อัจฉริยะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อัพภุตะ (สิ่งที่ไม่มีไม่เป็น) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อัพภุตะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อัพภุตะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนีติกะ (สิ่งที่ไม่มีเสนียด) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย   จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนีติกะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า  อนีติกะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนีติกธัมมะ (ธรรมที่ไม่เสนียด) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนีติกธัมมะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

      ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อนีติกธัมมะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อัพ๎ยาปัชฌะ (สิ่งที่ไม่เบียดเบียนสัตว์)  แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อัพ๎ยาปัชฌะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า อัพ๎ยาปัชฌะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง วิราคะ (ที่คลายกำหนัด) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย   จงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! วิราคะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า วิราคะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง สุทธิ (สิ่งบริสุทธิ์) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สุทธิ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า สุทธิ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง มุตติ  (ความพ้น) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! มุตติ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า มุตติ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง อนาลยะ (สิ่งที่ไม่เป็นอาลัย) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! อนาลยะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า อนาลยะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ทีปะ (เกาะที่พ้นน้ำ) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ทีปะ เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ทีปะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง เลณะ (ที่ซ่อน) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! เลณะ เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า เลณะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ตาณะ (ที่ป้องกัน) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ตาณะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ตาณะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง สรณะ (ที่พึ่ง) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! สรณะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล  เราเรียกว่า  สรณะ.

ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่ง ปรายนะ (ที่สุดทาง) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.

ภิกษุทั้งหลาย ! ปรายนะ  เป็นอย่างไรเล่า ?

       ภิกษุทั้งหลาย ! ความสิ้นไปแห่งราคะ,  ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด ;

             ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้แล เราเรียกว่า ปรายนะ.

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น หน้าที่ ๔๕๑-๔๖๒

 (ภาษาไทย)  สฬา. สํ. ๑๘/๓๗๐-๓๗๓/๗๒๐-๗๕๑.คลิกดูพระสูตร

{/slider}

]]>
buddhawajana.faq@gmail.com (Super User) โลกุตรธรรม Thu, 11 Jul 2013 15:58:16 +0000
คลิปสั้น : นั่นไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม), นั่นไม่ใช่เป็นเรา (เนโสหมสฺมิ), นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/621-55-00-0002 http://www.buddhakos.com:8003/th/allarticle/95-clipbydhammacat/lohgutdtaratam/621-55-00-0002

 

 

{tab=วิดีโอ }

{youtube}j_ouyDm3UvQ{/youtube}

หลังฉัน  10 พ.ย. 56
 
บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง 10 ปทุมธานี

ดาวน์โหลด : mp4mp3


 {/tabs}

พระสูตรที่เกี่ยวข้อง

{slider=อหังการ มมังการ มานานุสัย}

พระนครสาวัตถี ฯลฯ ณ ที่นั้นแล ท่านพระราธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้เห็นอย่างไร จึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรราธะ

รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวของเรา.

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง สังขาร เหล่าใดเหล่าหนึ่ง วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และ ปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้

อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณทั้งหมดนั้นด้วยปัญญา อันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา.

ดูกรราธะ บุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และ

ในสรรพนิมิตภายนอก ฯลฯ ท่านพระราธะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.

 

(ไทย) ขนฺธ สํ. ๑๗/๗๙/๑๔๗.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ขนฺธ สํ. ๑๗/๙๘/๑๔๗.คลิกดูพระสูตร 

{/slider}{slider=ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์}

 พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง นั้นว่า

นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง นั้นว่า

นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้น ว่า

นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง นั้นว่า

นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?

ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?

ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง

นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

 

(ไทย) มหา. วิ. ๔/๒๑/๒๑ .คลิกดูพระสูตร

(บาลี) มหา. วิ. ๔/๒๖/๒๑ .คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=ว่าด้วยความเป็นอนิจจังแห่งขันธ์ ๕}

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้

 

เวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ

วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่ เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ใช่ของ เรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ข้อนี้อริยสาวก พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้

 

อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า

ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

 

 

(ไทย) ขนฺธ สํ. ๑๗/๒๑/๔๒.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ขนฺธ สํ. ๑๗/๒๘/๔๒.คลิกดูพระสูตร

 

 

{/slider}{slider=โทษของรูป}

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของรูปทั้งหลาย?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละในโลกนี้ โดยสมัยอื่น มีอายุ ๘๐-๙๐ หรือ ๑๐๐ ปี โดยกำเนิด เป็นยายแก่ มีซี่โครงคดดังกลอนเรือนร่างขดงอ ถือไม้เท้ากระงกกระเงิ่น เดินสั่นระทวย กระสับกระส่าย ผ่านวัยเยาว์ไปแล้วมีฟันหลุด ผมหงอก ผมโกร๋น ศีรษะล้าน เนื้อเหี่ยว มีตัว ตกกระ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มี ในครั้งก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละมีอาพาธ มีทุกข์ เจ็บหนัก นอนจมมูตรคูถของตน ต้องให้คนอื่นพยุงลุก ต้องให้คนอื่นคอยประคอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพ ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ตายได้ ๑ วันก็ดี ตายได้ ๒ วันก็ดี ตายได้ ๓ วันก็ดี เป็นซากศพขึ้นพอง ก็ดี มีสีเขียวก็ดี เกิดหนอนชอนไชก็ดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้ง ไว้ในป่าช้า ฝูงการุมกันจิกกินบ้าง ฝูงแร้งรุมกันจิกกินบ้าง ฝูงนกเค้ารุมกันจิกกินบ้าง ฝูงสุนัขรุม กันกัดกินบ้าง ฝูงสุนัขจิ้งจอกรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงปาณกชาติต่างๆ รุมกันกัดกินบ้าง ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ ในป่าช้า มีแต่โครงกระดูก มีเนื้อและเลือดติดอยู่ มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจาก เนื้อเปื้อนเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูกปราศจากเนื้อและเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ เป็นแต่กระดูก ปราศจากเอ็นยึด กระจัดกระจายไปในทิศน้อยทิศใหญ่ คือ กระดูกมือทางหนึ่ง กระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้งทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอวทางหนึ่ง กระดูกสันหลัง ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกทางหนึ่ง กระดูกแขนทางหนึ่ง กระดูกไหล่ทาง หนึ่ง กระดูกคอทางหนึ่ง กระดูกคางทางหนึ่ง กระดูกฟันทางหนึ่ง หัวกระโหลกทางหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่งที่มีในก่อนนั้น หายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวนั้นแหละ เป็นซากศพถูก ทิ้งไว้ในป่าช้า เหลือแต่กระดูกสีขาว เปรียบเทียบได้กับสีสังข์ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกตกค้างแรมปี เรียงรายเป็นหย่อมๆ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกผุแหลกยุ่ย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญ ข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?

ภิ. เป็นเช่นนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลาย.

  

(ไทย) มู. ม. ๑๒/๑๑๙/๒๐๒.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) มู. ม. ๑๒/๑๗๒/๒๐๒.คลิกดูพระสูตร

 

{/slider}{slider=สังขตลักษณะ}

 

ภิกษุ ท. !  สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม   ๓  อย่าง    เหล่านี้   มีอยู่.

สามอย่างอย่างไรเล่า ?  สามอย่างคือ :-

๑.  มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปญฺญายติ);

๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺญายติ) ;

๓.  เมื่อตั้งอยู่ ก็มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ   (ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).

ภิกษุ ท. !  สามอย่างเหล่านี้แล  คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม.

 

ภิกษุ ท. !  อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม  ๓  อย่างเหล่านี้   มีอยู่.

สามอย่างอย่างไรเล่า ?  สามอย่างคือ :-

๑.  ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ;

๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ;

๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).

ภิกษุ ท. !  สามอย่างเหล่านี้แล   คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.

                      

อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้า ๔๔๘

                             (ไทย)ติก. อํ. ๒๐/๑๔๔/๔๘๖-๔๘๗. :คลิกดูพระสูตร

 

                             (บาลี)ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗. :คลิกดูพระสูตร

 

  

{/slider}{slider=ความมี ความไม่มี}

  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรกัจจานะ โลกนี้ ดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ

ความ มี ๑

ความไม่มี ๑

ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี

เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี

โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย อันเป็น ที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิด ขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้อง เชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะจึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ [๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุดข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

 

 (ไทย) นิทาน.สํ.๑๖/๑๕/๔๓.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน.สํ.๑๖/๒๐/๔๓.คลิกดูพระสูตร

  

{/slider}{slider=อิทัปปัจจยตา}

 [๑๕๔] ก็ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เป็นไฉน

ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ถึงปฏิจจสมุป บาทเป็นอย่างดีว่า

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ ด้วยประการดังนี้ คือ

 

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ

เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ

เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส

ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

 

ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ

เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ

เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ

เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ

เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ

เพราะภพดับชาติจึงดับ

เพราะชาติดับ ชราและ มรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงดับ

ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย ประการอย่างนี้

ญายธรรมอันประเสริฐนี้ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว ด้วยปัญญา ฯ

 

(ไทย) นิทาน. สํ. ๑๖/๖๘/๑๕๔.คลิกดูพระสูตร

(บาลี) นิทาน. สํ. ๑๖/๘๓/๑๕๔.คลิกดูพระสูตร

{/slider}{slider=อริยสาวกย่อม ไม่ยุบ ไม่ก่อ}

 

อริยสาวก ย่อมทำอะไรให้พินาศ ย่อมไม่ก่ออะไร? 

ย่อมทำรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้พินาศ 

ย่อมไม่ก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. 

ย่อมละทิ้งอะไร ย่อมไม่ถือมั่นอะไร? 

ย่อมละทิ้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 

ย่อมไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. 

ย่อมเรี่ยรายอะไร ย่อมไม่รวบรวมอะไรไว้? 

ย่อมเรี่ยรายรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 

ย่อมไม่รวบรวมรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ. 

ย่อมทำอะไรให้มอด ย่อมไม่ก่ออะไรให้ลุกโพลงขึ้น? 

ย่อมทำรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้มอด

ย่อมไม่ก่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ลุกโพลงขึ้น. 

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ 

ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ 

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น. 

เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว

พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี 

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนี้เราเรียกว่า ย่อมไม่ก่อ ย่อมไม่ทำให้พินาศ 

แต่เป็นผู้ทำให้พินาศได้แล้วตั้งอยู่ ย่อมไม่ละ ย่อมไม่ถือมั่น 

แต่เป็นผู้ละได้แล้วตั้งอยู่ ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่รวบรวมไว้ 

แต่เป็นผู้เรี่ยรายได้แล้วตั้งอยู่ ย่อมไม่ทำให้มอด ย่อมไม่ก่อให้ลุกโพลงขึ้น 

แต่เป็นผู้ทำให้มอดได้แล้วตั้งอยู่.

 

(ไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๘๙/๑๖๔ : คลิกดูพระสูตร

(บาลี) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๙/๑๖๔ : คลิกดูพระสูตร

 

 

{/slider}

 

 

]]>
capt.nanawee@gmail.com (pum) โลกุตรธรรม Fri, 15 Nov 2013 11:05:57 +0000