จิตรับรู้อารมณ์ได้ที่ละอย่าง คืออย่างไร
วิดีโอ
สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์ ๒๒ ม.ค. ๕๔
บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐ ปทุมธานี
ดาวน์โหลด : คลิกที่นี่
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
   ภิกษุทั้งหลาย. !    ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;  ผู้ไม่เข้าไปหาเป็นผู้หลุดพ้น. ภิกษุทั้งหลาย. !    วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณ ที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;      ภิกษุทั้งหลาย. !   วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้. เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัยมีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;    ภิกษุทั้งหลาย. !วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,  เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย  มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;     ภิกษุทั้งหลาย. !   วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้ง      อยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.   ภิกษุทั้งหลาย. !    ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์    ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้น สังขาร”  ดังนี้นั้น,  นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.   ภิกษุทั้งหลาย. !    ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ  ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว ; เพราะละราคะได้  อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี. วิญญาณ    อันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง ;   เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่นเพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง ;  เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว ;   เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ;  ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ดังนี้.                    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้า ๖๘๓ (ภาษาไทย)   ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๓/๑๐๕.: คลิกดูพระสูตร   
	   อัคคิเวสสนะ !     เวทนาสามอย่าง เหล่านี้ มีอยู่ คือสุขเวทนา  ทุกขเวทนา  อทุกขมสุขเวทนา. อัคคิเวสสนะ !    สมัยใด บุคคลเสวยสุขเวทนา,  สมัยนั้นไม่ได้เสวยทุกขเวทนา  ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา,  สมัยนั้นคงเสวย แต่สุขเวทนาเท่านั้น.    อัคคิเวสสนะ !     สมัยใด บุคคลเสวยทุกขเวทนา,   สมัย นั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา, สมัยนั้นคงเสวยแต่ ทุกขเวทนาเท่านั้น.  อัคคิเวสสนะ !    สมัยใด  บุคคลเสวยอทุกขมสุขเวทนา,   สมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา    ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา,     สมัยนั้นคงเสวยแต่  อทุกขมสุขเวทนาเท่านั้น.  อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๙๕๔ (ภาษาไทย)  ม.ม. ๑๓/๒๐๗/๒๗๓. : คลิกดูพระสูตร   
	   ภิกษุทั้งหลาย. ! วิญญาณฐิติ  สี่อย่าง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร)   พึงเห็นว่าเหมือนกับ  ดิน.            ภิกษุทั้งหลาย. !    นันทิราคะ     พึงเห็นว่าเหมือนกับ  น้ำ. ภิกษุทั้งหลาย. !    วิญญาณ  ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย  (คือกรรม)   พึงเห็นว่า เหมือนกับ  พืชสดทั้งห้านั้น. ภิกษุทั้งหลาย. !  วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา รูป  ตั้งอยู่   ก็ตั้งอยู่ได้,    เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์   มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ   ก็ถึงความ เจริญ  งอกงาม  ไพบูลย์  ได้ ; ภิกษุทั้งหลาย. !  วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา เวทนา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,  เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์   มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย   มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถือความเจริญ  งอกงาม  ไพบูลย์  ได้ ; ภิกษุทั้งหลาย. !  วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา  สัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้,   เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์    มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย    มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ; ภิกษุทั้งหลาย. !  วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอา สังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์    มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย  มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ  ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้. ภิกษุทั้งหลาย. !  ผู้ใด จะพึงกล่าวอย่างนี้  ว่า  “เราจักบัญญัติ  ซึ่งการมา การไป   การจุติ    การอุบัติ    ความเจริญ   ความงอกงาม   และความไพบูลย์ของวิญญาณ   โดยเว้นจากรูป   เว้นจากเวทนา   เว้นจากสัญญา  และเว้นจากสังขาร”  ดังนี้นั้น,   นี่  ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.   อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑ หน้าที่ ๒๐๖ (ภาษาไทย) ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๔/๑๐๗ : คลิกดูพระสูตร   
	   ภิกษุทั้งหลาย. !    ปุถุชนผู้ไม่ได้มีการสดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอากายอันเป็น  ที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้  โดยความเป็นตัวตน  ยังดีกว่า  แต่จะเข้าไปยึดถือ เอาจิตโดยความเป็นตัวตน ไม่ดีเลย.    ข้อนี้เป็นเพราะเหตุใดเล่า ?     ภิกษุทั้งหลาย. !  ข้อนั้นเพราะเหตุว่า กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้งสี่นี้ ดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง  สามปีบ้าง  สี่ปีบ้าง  ห้าปีบ้าง  สิบปีบ้าง  ยี่สิบปีบ้าง   สามสิบปีบ้าง   สี่สิบปีบ้าง  ห้าสิบปีบ้าง  ร้อยปีบ้าง  เกินกว่าร้อยปีบ้าง  ปรากฏอยู่    ภิกษุทั้งหลาย. ! ส่วนสิ่งที่เรียกกันว่า “จิต” ก็ดี   ว่า “มโน” ก็ดี   ว่า “วิญญาณ” ก็ดีนั้นดวงหนึ่งเกิดขึ้น    ดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน.  ภิกษุทั้งหลาย. ! เปรียบเหมือนวานรเมื่อเที่ยวไปอยู่ในป่าใหญ่  ย่อมจับกิ่งไม้ : ปล่อยกิ่งนั้น    จับกิ่งอื่น    ปล่อยกิ่งที่จับเดิมเหนี่ยวกิ่งอื่น   เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป, ข้อนี้ฉันใด ;   ภิกษุทั้งหลาย. !    สิ่งที่เรียกกันว่า  “จิต” ก็ดี   ว่า  “มโน”  ก็ดี ว่า “วิญญาณ” ก็ดี    ก็ฉันนั้นเหมือนกัน   ดวงหนึ่งเกิดขึ้นดวงหนึ่งดับไปตลอดวันตลอดคืน.    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๑๐๑๕ (ภาษาไทย)    นิทาน. สํ. ๑๖/๙๓-๙๕/๒๓๐ - ๒๓๒.: คลิกดูพระสูตร   
	   ภิกษุทั้งหลาย. !  ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;  ผู้ไม่เข้าไปหาเป็นผู้หลุดพ้น. ภิกษุทั้งหลาย. !  วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณ ที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึง ความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;     ภิกษุทั้งหลาย. !   วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาเวทนา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้. เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;   ภิกษุทั้งหลาย. ! วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสัญญา ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็น อารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้ ;    ภิกษุทั้งหลาย. !   วิญญาณ ซึ่ง เข้าถือเอาสังขาร ตั้งอยู่ ก็ตั้ง      อยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิ (ความเพลิน) เป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ ได้.   ภิกษุทั้งหลาย. !  ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์      ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้น สังขาร”  ดังนี้นั้น,  นี่ ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.                                    ภิกษุทั้งหลาย. !  ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ใน สังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว ; เพราะละราคะได้  อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี. วิญญาณ    อันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง ;  เพราะ หลุดพ้นไปก็ตั้งมั่นเพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง ; เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว ;   เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน ;  ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่ จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก” ดังนี้.                        อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๒ หน้าที่ ๖๘๓-๖๘๔ (ภาษาไทย)  ขนฺธ. สํ. ๑๗/๕๓/๑๐๕. : คลิกดูพระสูตร   
	
 
	



